Cerebellar sign
การทดสอบที่ใช้ระยางค์ในการทดสอบ จะเป็นการทดสอบ hemisphere ของ cerebellar เช่น diadochokinesia, finger to nose, heel to knee
ส่วนการทดสอบที่ใช้แกนกลาง จะเป็นการทดสอบ vermis ของ cerebellar เช่น Tandem gait, romberg test
คนเราจะรักษาสมดุลได้ต้องใช้ 3 อย่างคือ 1. ตา 2. หูชั้นใน 3. cerebellar โดยต้องมี 2/3 ถึงจะรักษาสมดุลอยู่ได้
การทำ Romberg test ให้คนไข้ยืนส้นเท้าชิดกันแล้วหลับตา เป็นการตัดตาออก ดังนั้นถ้าเสียหู หรือ cerebellar อย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้ก็จะทรงตัวไม่ได้
Daily, Monthly, Yearly
The longest journey begins with the first step,
Step by Step.
21 October 2015
การตรวจ cranial nerve IX
การตรวจ cranial nerve IX
บางคนจะให้ดูว่า uvula shift ไปทางไหน ซึ่งจะค่อนข้างสับสนว่าจะ shift ไปข้างเดียวกับที่เสียหรือไปอีกข้างกันแน่ นานไปก็ลืม
วิธีที่ง่ายกว่าคือ soft palate แล้วให้คนไข้ร้อง อ่า soft palate ข้างไหนไม่ยก ก็แสดงว่า muscle ข้างนั้นเสีย ก็แสดงว่า cranial nerve IX ข้างนั้นเสียจะง่ายกว่า
บางคนจะให้ดูว่า uvula shift ไปทางไหน ซึ่งจะค่อนข้างสับสนว่าจะ shift ไปข้างเดียวกับที่เสียหรือไปอีกข้างกันแน่ นานไปก็ลืม
วิธีที่ง่ายกว่าคือ soft palate แล้วให้คนไข้ร้อง อ่า soft palate ข้างไหนไม่ยก ก็แสดงว่า muscle ข้างนั้นเสีย ก็แสดงว่า cranial nerve IX ข้างนั้นเสียจะง่ายกว่า
การแปลผล weber test และ Rinne test
การแปลผล Weber และ Rinne test แบบง่ายๆ
Weber เป็นการเคาะส้อมเสียงแล้ววางที่กระดูก midline เป็นการนำเสียงแบบ bone conduction
ส่วน Rinne test เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง Bone conduction กับ air conduction คือวางส้อมเสียงที่ mastoid (bone conduction) พอไม่ได้ยินแล้วให้วางส้อมเสียงที่หน้าหู (air conduction)
คนปกติแล้วจะมี AC > BC เพราะฉะนั้น rinne test ก็จะ AC > BC
คนที่เป็น sensory neural hearing loss ก็จะมี AC>BC
ดังนั้นแล้ว Rinne test จะแยกว่าคนนี้ปกติหรือมี sensory neural hearing loss ไม่ได้
ต้องใช้ Weber test มาช่วย การทำ weber test ในคนไข้ที่มี sensory neural hearing loss หูข้างที่เสียจะไม่ได้ยิน เพราะว่าถึงเสียงจะผ่านกระดูกมา nerve ก็ส่งต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าผล weber หูข้างนั้นได้ยินก็แสดงว่าเป็นหูปกติ
ส่วนในคนที่เป็น conductive hearing loss คนไข้จะมี BC>AC เมื่อทำ weber test จะได้ยินข้างที่หูเสียดังเพราะว่า weber เป็นการทดสอบแต่ BC และเมื่อมาทดสอบ Rinne test ก็จะได้ว่า BC>AC ในหูข้างที่เสีย
เรียนอย่างเข้าใจ ก็จะเข้าใจไม่ต้องจำ
Weber เป็นการเคาะส้อมเสียงแล้ววางที่กระดูก midline เป็นการนำเสียงแบบ bone conduction
ส่วน Rinne test เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง Bone conduction กับ air conduction คือวางส้อมเสียงที่ mastoid (bone conduction) พอไม่ได้ยินแล้วให้วางส้อมเสียงที่หน้าหู (air conduction)
คนปกติแล้วจะมี AC > BC เพราะฉะนั้น rinne test ก็จะ AC > BC
คนที่เป็น sensory neural hearing loss ก็จะมี AC>BC
ดังนั้นแล้ว Rinne test จะแยกว่าคนนี้ปกติหรือมี sensory neural hearing loss ไม่ได้
ต้องใช้ Weber test มาช่วย การทำ weber test ในคนไข้ที่มี sensory neural hearing loss หูข้างที่เสียจะไม่ได้ยิน เพราะว่าถึงเสียงจะผ่านกระดูกมา nerve ก็ส่งต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าผล weber หูข้างนั้นได้ยินก็แสดงว่าเป็นหูปกติ
ส่วนในคนที่เป็น conductive hearing loss คนไข้จะมี BC>AC เมื่อทำ weber test จะได้ยินข้างที่หูเสียดังเพราะว่า weber เป็นการทดสอบแต่ BC และเมื่อมาทดสอบ Rinne test ก็จะได้ว่า BC>AC ในหูข้างที่เสีย
เรียนอย่างเข้าใจ ก็จะเข้าใจไม่ต้องจำ
การตรวจ Eye movement
การตรวจ Cranial nerve defect ที่สัมพันธ์กับ Eye movement
เวลาท่องจะก็จะท่องว่า SO4 LR6 นอกนั้นเลี้ยงด้วย nerve III
กล้ามเนื้อ Medial กับ lateral rectus ทำให้ตาเคลื่อน Leteral กับ medial อันนี้ง่ายๆไม่สับสน
แต่กล้ามเนื้อที่สับสนกันมากคือ Superior rectus กับ Inferior oblique และ Inferior rectus กับ Superior oblique
ต้องเข้าใจก่อนว่ากระบอกตาไม่ได้อยู่เป็นแนวตรง แต่อยู่เป็นแนวเฉียง กระบอกตาทั้งสองข้างเฉียงเข้าหากัน Sup และ inf rectus ลำ muscle จะขนานกับกระบอกตาดังนั้นเวลาจะตรวจ SR และ IR ต้องให้มองนิ้วที่เอียงไปประมาณ 30 องศาจาก midline ซึ่งประมาณเดียวกับองศาของกระบอกตา แล้วให้มองขึ้นก็จะเป็นการทดสอบ SR ส่วน มองลงก็จะเป็น IR แต่ถ้าให้นิ้วผู้ตรวจอยู่ตรง midline แล้วให้มองขึ้น จะเป็นการใช้ทั้ง SR และ IO ส่วนถ้าให้มองเข้าในแล้วมองขึ้นจะเป็นการใช้ทั้ง IO และ MR
เวลาท่องจะก็จะท่องว่า SO4 LR6 นอกนั้นเลี้ยงด้วย nerve III
กล้ามเนื้อ Medial กับ lateral rectus ทำให้ตาเคลื่อน Leteral กับ medial อันนี้ง่ายๆไม่สับสน
แต่กล้ามเนื้อที่สับสนกันมากคือ Superior rectus กับ Inferior oblique และ Inferior rectus กับ Superior oblique
ต้องเข้าใจก่อนว่ากระบอกตาไม่ได้อยู่เป็นแนวตรง แต่อยู่เป็นแนวเฉียง กระบอกตาทั้งสองข้างเฉียงเข้าหากัน Sup และ inf rectus ลำ muscle จะขนานกับกระบอกตาดังนั้นเวลาจะตรวจ SR และ IR ต้องให้มองนิ้วที่เอียงไปประมาณ 30 องศาจาก midline ซึ่งประมาณเดียวกับองศาของกระบอกตา แล้วให้มองขึ้นก็จะเป็นการทดสอบ SR ส่วน มองลงก็จะเป็น IR แต่ถ้าให้นิ้วผู้ตรวจอยู่ตรง midline แล้วให้มองขึ้น จะเป็นการใช้ทั้ง SR และ IO ส่วนถ้าให้มองเข้าในแล้วมองขึ้นจะเป็นการใช้ทั้ง IO และ MR
รูปนี้แสดงถึง axis ของ orbit ที่เอียงเข้าหากัน ซึ่งเป็นแนวเดียวกับ Inf และ sup rectus
รูปนี้แสดงถึง Lt Nerve IV palsy